สมัยผมอยู่นครบาลมีนักบินเยอะ ส่วนมากเป็นพวกบินเร็วกว่าเสียง ได้ยินเสียงมองหาเครื่องไม่เจอ หายไปแล้ว แต่ก็ยังมีโดนยิงล่วง อย่าเพิ่งสงสัยว่านครบาลมีหน่วยบินด้วยหรือ เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงตำรวจและนักข่าว คำๆนี้ใช้เรียกผู้ที่สืบสวนเก่ง ใครทำผิดที่ไหนรู้หมดแต่แทนที่จะจับกุมดำเนินคดีก็เปลี่ยนเป็นเงิน เจ้านายบางคนเรียกพวกที่มีพฤติกรรมแบบนี้ว่า “ตีไก่” อธิบายไม่ถูกว่าเหมือนการตีไก่ได้ยังไง พวกนักบินเร็วกว่าเสียงสร้างความงุนงงให้กับวงการตำรวจ ไม่รู้ว่าใครทำ ตำรวจจริงหรือตำรวจปลอมจับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวทีก็เหม็นกันไปทั้งกอง พวกนักบินนี่ถ้าเลี้ยงให้ดี ขี่ให้เป็นงานออกเยอะ ใครอยากมีผลงานก็ต้องจ่ายเยอะหน่อย ซื้อข่าวไง
ตอนผมไปทำงานสืบสวนให้กับธนาคารกรุงเทพฯก็เหมือนไปตั้งกองโจรย่อยๆ รวบรวมบรรดานักสืบหัวกระทิ, นักบินไว้เยอะ แล้วก็ยังมีพวก “นิ้วเพชร”ไปเข้าสังกัดอีกหลายคน “นิ้วเพชร”นี่แสบมาก ข่าวที่ให้ต้องเช็คให้ลึก ข่าวดีจริงแต่พี่แกเคยไปชี้ให้ตำรวจหน่วยอื่น “ตี”ไปแล้วเอามาให้เราทำอีก คนที่ทำผิดมันโดนไถบ่อยๆแล้วยังถูกจับอีกถึงจุดๆหนึ่งมันสู้ยิบตาแบบ “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ร้องเรียนแบบกัดไม่ปล่อย พวกนักบินเดือดร้อน
ผมไปตั้งหน่วยอยู่ที่ธนาคารฯไม่เดือดร้อนเรื่องเสบียง อาหารการกินนักสืบ, นักบินกินง่ายๆและยังมี “อาจารย์แก้ว”ที่ส่งไปบวชจัดอาหารมาเสริม ทุกคนแฮปปี้ ถึงตอนกลางวันจะมารวมกันพร้อมหน้า กินเสร็จแล้วก็จะมีข่าวแลกข้าว จริงหรือเท็จก็ต้องเช็คกันเอา ถ้าเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับธนาคารฯก็จะมีงบฯ ถ้าไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับธนาคารจะส่งให้ตำรวจที่เกี่ยวข้อง บางครั้งควบคุมไม่ถึงทำให้ “นักบิน”ถูกสอยล่วง
จ่าเพลินฯตำรวจสายสืบ สน.หนึ่งในนครบาลถูกพักราชการเรื่องอะไรไม่ทราบ เพลินฯไม่ได้ไปสังกัดอยู่กับผมเพราะยังอยู่ระหว่างสอบสวน เพลินฯเป็นเพื่อนกับ “จ่าจำรัส”ซึ่งเป็นตำรวจเก่าโดนออกแล้วทำงานอยู่กับผม วันหนึ่งสองคนนี่ก็คบคิดกันไปทำงานพิเศษไม่ได้ปรึกษาผม คนเราอยู่ดีแล้วไม่รู้จักพอรนหาที่ พาเอาคนดีๆไปติดคุก ผมมาทราบเรื่องเอาตอนที่โดนสอยล่วงแล้ว เรื่องมีอยู่ว่า ฝรั่งชาวต่างชาติผู้หนึ่งเป็นชาย เป็นอาชญากรมีคดีอาญาโกงเงินจากต่างประเทศหนีคดีเข้ามาอยู่ในเมืองไทย ได้ภรรยาเป็นคนไทย ฝรั่งผู้นี้มีฐานะเช่าบ้านจาก “คุณหญิง”ท่านหนึ่งแถวสุขุมวิท ราคาเดือนละสามหมื่นบาท เรื่องนี้เกิดเมื่อ ๒๕ ปีมาแล้ว คนที่เช่าบ้านอยู่ในราคานี้ต้องเป็นระดับเศรษฐี แถมยังมีรถเก๋งนั่ง มีคนขับ ข้อมูลลับอันนี้ออกมาจากคนขับรถเพราะว่ามีวันหนึ่งตำรวจจากหน่วยไหนไม่ทราบมาจับ ฝรั่งผู้นี้มีเงินเรื่องไรจะยอมเข้าคุก จ่ายเงินให้ตำรวจชุดนั้นไปเรื่องก็จบ แต่เจ้าคนขับรถเห็นช่องได้เงินจึงคาบข่าวไปบอกจ่าเพลินฯ จ่าเพลินฯกำลังต้องการเงินไปวิ่งเต้นเรื่องที่ถูกสอบสวนก็เลยไปปรึกษากับจ่าจำรัสฯ เข้าล็อกพอดีที่กองโจรผมกำลังว่างงาน ปฏิบัติการสายฟ้าแลบเกิดขึ้น ฝรั่งถูกอุ้มตัวไปไว้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน กทม. เจรจาต้าอ้วยกันเรียบร้อยฝรั่งยอมจ่ายเงินเพื่อแรกกับอิสรภาพ ตกลงราคากันหลายแสน จ่าเพลินฯพาภรรยาฝรั่งไปถอนเงินสดที่ธนาคาร เจ้ากรรมเงินในบัญชีไม่พอ ภรรยาฝรั่งไปขอยืมเงินจาก “คุณหญิง”เจ้าของบ้านให้เช่าอีก สรุปว่าเงินครบ ทุกฝ่ายแฮปปี้มีการกินเลี้ยงดื่มไวน์ที่โรงแรมฉลองความเป็นเพื่อนกัน ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกลับไปแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง แต่ “คุณหญิง”เจ้าของบ้านให้เช่าสงสารฝรั่ง อยากจะให้ความอบอุ่นฐานะที่เป็นลูกค้าเช่าบ้านอยู่เป็นปี ไปเล่าเรื่องนี้ให้อธิบดีตำรวจท่านหนึ่งซึ่งชอบพอกันฟัง เอาละซีงานเข้า อธิบดีตำรวจท่านนั้นสั่งสอบสวน นักบินพากันโดดร่มสละเครื่องหนีอุตลุด รอดไปได้หลายคนแต่จ่าเพลินฯไม่รอด แม้ฝรั่งและภรรยาจะไม่เอาเรื่องแต่เจ้าหน้าที่ธนาคารฯยันจ่าเพลินฯจำได้ตอนพาไปเบิกเงิน ดิ้นไม่หลุด น่าสงสารนายตำรวจอีกท่านหนึ่งเป็นคนดี พูดภาษาอังกฤษได้ถูกเรียกให้ไปเป็นล่ามเจรจา ไม่รู้เรื่องรู้ราวโผล่หน้าไปแว๊บเดียวพลอยติดร่างแหไปด้วย
นักบินโดนสอยล่วงไปหนึ่งเพราะประมาทนึกว่าเป็น “หมูในอวย” นักบินฝูงเดียวกันอีกหลายคนรอด นายตำรวจที่ถูกเชิญเป็นล่ามถูกดำเนินคดี ฝรั่งไม่คิดเอาเรื่องแต่ตกกระไดพลอยโจนอยู่เมืองไทยไม่ได้พาเมียหนีไปอยู่ประเทศอื่น ส่วน“คุณหญิง”หวังดีจะช่วยเหลือลูกค้าก็เลยต้องอดค่าเช่าไปด้วย
นักสืบรุ่นหลังๆได้อ่านเรื่องนี้แล้วเก็บเอาไปคิด อะไรๆก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ พึงปฏิบัติและยึดถือแนวทางที่ถูกต้องไว้ แม้จะจนก็ไม่ต้องนอนแบบสะดุ้งผวา.
ใส่ความเห็น